สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องหาเอง เริ่มจากอาหาร สมุนไพรเป็นยา

สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องหาเอง เริ่มจากทำอาหารเป็นยา เลือกสมุนไพรเป็นอาหาร

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

น้ำมะพ้าว กับอายุรเวช และโรคหัวใจ เกี่ยวกันยังไง


          ในทางอายุรเวช  น้ำมะพร้าว ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการักษาและมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น  ช่วยล้างพิษ ดูดซับและขับของเสียออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ส่วนเนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่ ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งหลายคนจะเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่า ช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย 

น้ำมะพร้าวอ่อน เรารู้จักกันดีว่ามีรสชาติหอมหวาน นอกจากจะใช้ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ทราบหรือไม่ว่าน้ำมะพร้าวอ่อนยังสามารถดื่มเพื่อทดแทนเกลือแร่เวลาที่เราสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย หรือขาดเกลือแร่เนื่องจากอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย

น้ำมะพร้าว" ถือ เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดเช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ
           ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น น้ำมะพร้าว เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัวค่ะ

ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด 
           จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข"
           จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่มน้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย

ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง?
            เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า
 น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก 
ประโยชน์มากมาย
           
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)
            อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่าง
คนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
            การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
            น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

ทาน  อาหารเป็นยา  อย่าทานยาให้เป็นอาหาร

Cr....ที่มา: www.stou.ac.th

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


ทำไม??คนกินมังสวิรัติถึงได้ยังเป็นโรคหลอดเลือดตีบ!!

#เรื่องนี้ไม่อ่านไม่ได้ !!!
              ว่า.......... อาหารเป็นยา นั้นเป็นอย่างไร ทานมากเกินไป ทานน้อยเกินไป ทานซ้ำๆ บ่อยๆ นานเกินไป เกิดโทษหรือเปล่า 
        เรื่องอย่างนี้ต้องเข้าใจกระบวนการจัดการในร่างกายอย่างน้อยก็มีมุมมองในเรื่องโภชนาการอย่างถูกต้อง และเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญสำหรับคนยุคสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสารเคมี การปรุงแต่งต่าง ๆ ลงไปในอาหารเพื่อการตลาด เพื่อสร้างแรงกระตุ้นสิ่งเร้าให้เราเสพอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพียงลิ้มลองอาจนำพาซึ่งโรคร้ายในภายหน้าได้
 


นับเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจและเกิดคำถามมากสำหรับคนที่รับประทานอาหาร มังสวิรัติว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งยังเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ได้ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่รับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์       ตัวอย่างเช่น เจ้าตำรับสูตรอาหารชีวจิต เน้นการรับประทานธัญพืช ผัก ปลาบ้างเล็กน้อย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ อย่าง   **ดร.สาทิส อินทรคำแหง** ได้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ !?


 
**พลตรีจำลอง ศรีเมือง** ผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ปฏิบัติธรรมถือศีลเคร่งครัด ปฏิบัติตามอิทธิบาทสี่ รับประทานอาหารมื้อเดียว ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน และล้างพิษตับด้วย แต่ปรากฏว่าพบหลอดเลือดตีบหรืออุด ตันบริเวณหัวใจถึง 3 เส้น จนต้องเข้ารักษาด้วยการทำบอลลูนจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้    จึงเกิดคำถามว่าทำไมบุคคลสำคัญในด้านสุขภาพ 2 ท่านนี้จึงมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดตีบได้อย่างไร?
          จริงอยู่ที่ว่าการปฏิบัติตนดูแลสุขภาพไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด มนุษย์เราก็ไม่สามารถเป็นอมตะนิรันดร์กาลได้ และเราทุกคนก็มีอายุขัยของตัวเองไม่เท่ากันซึ่งแล้วแต่บุญกรรมที่ทำมา และวันใดที่เราหมดอายุขัยเราทุกคนก็ต้องเป็นเจ็บป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งก่อน ที่จะจากโลกนี้ไป เพียงแต่การที่เราเข้าใจในบางเรื่องทียังไม่เข้าใจในวันนี้ก็จะทำให้เรามี โอกาสช่วยเหลือคนอื่นให้ได้ดีมากขึ้น   
คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ มักจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันพืชในการทำ อาหาร ได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ธัญพืช ผัก ข้าว ไข่ไก่ โดยส่วนใหญ่น้ำมันพืชที่เราใช้ในการทำ ความร้อนนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าว โพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ  น้ำมันพวกนี้เมื่อมีความไม่อิ่มตัวสูง ก็จะเปิดช่องทำให้เกิดการทำ ปฏิกิริยา กับออกซิเจนได้ง่ายหรือที่เรียกว่าออกซิเดชั่นทำให้เกิดการหืนได้ง่าย หรือ เมื่อโดนความร้อนก็จะทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเกิดเป็นไขมันทรานส์ อันเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดการอักเสบและอุดตันของหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งได้ด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้คนไทยสมัยก่อนที่ใช้น้ำมันอิ่มตัว ทั้งน้ำมันมะพร้าว กะทิ และน้ำมันหมู กลับไม่พบอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดมากเหมือนคน ปัจจุบัน  จากความเดิมในหลายตอนที่ผ่านมาได้นำเสนอมาแล้วว่าการเกิดของโรคหัวใจไม่สัมพันธ์กับปริมาณคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดแต่ประการใด
          งานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ได้เคยเกิดงานวิจัยครั้งใหญ่จากการสำรวจสถิติกลุ่มตัวอย่างถึง 3,641 คน โดยนักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนีย เมืองฟิลาเดเฟีย มลรัฐเพนซิลวา เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคอเลสเตอรอลและโรคหัวใจ ซึ่งจัดทำโดย Kinosian, B; Click, H; and Garland, G.1994 ในหัวข้อ “Cholesterol and coronary heart disease: Predicting risks by levels and ratios.” ตีพิมพ์ใน Ann. Internal Med. 121:641-7 ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ให้คำตอบกว่าการกำหนดปริมาณเกณฑ์การใช้คอเลสเตอ รอลใน กระแสเลือดที่อ้างว่าจะทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นไม่สามารถชี้ชัดได้เลย และเมื่อเก็บสถิติแล้วกลับพบว่าความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน่าจะใช้วิธีอื่นวัด น่าจะถูกต้องมากกว่า
 ความสัมพันธ์ที่สำคัญที่จะต้องพิจารณาเสมอคือปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด ต้องไม่เกิน 5 เท่าของ HDL (High Density Lipoprotein) หรือที่วงการแพทย์มักเรียกว่าไขมันชนิดดี หมาย ถึงว่ายิ่ง HDL เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ อัตราการความเสี่ยงเกิดปัญหาเรื่องการอุดตันของหลอดเลือดหรือหลอดเลือดตีบก็ จะลดลงไปด้วย  เป้าหมายการลดหรือป้องกันโรคหลอดเลือดตีบและหัวใจ จึงไม่ใช่การลดคอเลสเตอรอล (เพราะคอเลสเตอรอลมีความจำเป็นต่อร่างกายและส่วนใหญ่เกือบ 80% ร่างกายเราสังเคราะห์เองจากตับ) แต่เราต้องหาทางเพิ่ม HDL ให้มากขึ้น
การเพิ่ม HDL จากการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ใน J.Manag .Care Pharm 2008 พบว่า high trigly cerides และ low HDL- cholesterol ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคหัวใจ การทำให้คนไข้ LDL ต่ำเหลือประมาณต่ำกว่า 130 การเป็นโรคหัวใจก็ไม่ลดลง แต่พบว่าการเพิ่ม HDL การเป็นโรค หัวใจ ก็ลดลงทันที   มีรายงานวิจัยการเพิ่ม HDL-C ลงพิมพ์ใน Postgrand.Med.J.ปี 2008 พบว่า การเพิ่ม HDL –C เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดอัตราการเป็นโรคหัวใจในคนไข้ ซึ่งการรักษาตัวยา Statin LDL ต่ำมากแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ถ้าเพิ่ม HDL แล้ว คนไข้โรค หัวใจ และ โรคต่างๆกินน้ำมันมะพร้าวเพิ่ม HDL ได้ดีกว่าทั้งหมด
          ทั้งนี้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก ที่สุด และเป็นกรดไขมันสายสั้นและปานกลางมากที่สุดในโลก จึงทำให้ดูดซึมสร้างพลังงานให้กับตับได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นพลังงานสูงขึ้น เมื่ออัตราการเผาผลาญสูงขึ้น ตับก็จะผลิต HDL เพื่อไปเก็บคอเลสเตอรอลและ LDL ตามหลอดเลือดส่งมายังที่ตับ เพื่อนำคอเลสเตอ รอลเหล่านั้นไปผลิตเป็น ฮอร์โมนหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำดี และเยื่อหุ้ม เซลล์ เหตุเพราะการเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น  ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นน้ำมันที่ทำให้เพิ่ม HDL โดยตรง และสามารถลดอัตราความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบและอุดตันได้!!!
หลายคนรู้เพิ่มมากขึ้นในวันนี้ว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ ในยุคนี้ก่อให้เกิดโรคมากมายมหาศาลจึงได้หยุดรับประทานไป โดยเฉพาะวงการปศุสัตว์ทั้งหลายที่มีสารพิษตกค้างจากยาเคมี ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลีน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดโรคร้ายตามมาได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง แต่เมื่อหลายคนงดเนื้อสัตว์จึงต้องหันไปบริโภคโปรตีนจากธัญพืชแทน  ธัญพืชที่เราบริโภคส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแล้วแต่มีกรดไขมันที่เริ่มไม่ อิ่มตัวตำแหน่งที่ 6 (ตำแหน่งคาร์บอนแขนคู่ทำให้เริ่มตำแหน่งไม่อิ่มตัวตำแหน่งที่ 6) ที่เรียกว่า "กรดไลโนเลอิก" หรือที่เรียกว่า โอเมก้า 6 เป็นจำนวนมาก และจะยิ่งมากขึ้นไปอีกด้วยการใช้น้ำมันไขมันที่ได้จากธัญพืชส่วนใหญ่ก็มีโอ เมก้า 6 อยู่ในระดับสูงด้วย คราวนี้ก็จะเกิดความไม่สมดุลในการบริโภคกรดไขมันถึง 2 ชั้น ทั้งจากธัญพืชที่เราบริโภคแทนโปรตีน และจากน้ำมันจากธัญพืชที่นำมาผัดหรือทอด  ผลก็คือคนที่หันมาทานมังสวิรัติในลักษณะเช่นนี้ ก็จะมีกรดไขมันไลโนเลอิก หรือ โอเมก้า 6 มากเกินไปจนขาดสมดุล ผลที่ตามมาเมื่อเกิดการอักเสบของหลอดเลือดจากกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวหลาย ตำแหน่งเกิดทั้งอนุมูลอิสระได้มากและเกิดไขมันทรานส์ได้ง่าย
ถ้ามีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 6 มากเกินไปมากๆ ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์จะเสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า Cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจะพยายามรักษาตัวเองด้วยการหยุดการอักเสบนั้นด้วยการ นำไขมัน ลิ่มเลือด และแคลเซียมไปพอก หลอดเลือดจะแข็งตัว เมื่อพฤติกรรมการบริโภคเช่นนี้ปล่อยไว้ยาวนานขึ้นก็ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ ในที่สุด
นักโภชนาการจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเราจำเป็นต้องบริโภคให้เกิดความสมดุล ของกรดไขมันด้วย โดยสัดส่วนที่เหมาะสมก็คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวของโอเมก้า 6 นั้น ควรมีสัดส่วนไม่เกิน 4 เท่าตัว ของ กรดไลโนเลนิค หรือ กรดไขมันอิ่มตัวที่เริ่มไม่อิ่มตัวในตำแหน่งคาร์บอนที่ 3 ที่เรียกกันว่า โอเมก้า 3 ซึ่งมีในน้ำมันปลา สาหร่ายบางชนิด และ ธัญพืชบางชนิดที่ขึ้นในอุณหภูมิเย็นๆ
โดยเชื่อว่าน้ำมันที่เป็นโอเมก้า 3 นั้นจะลดการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลทำให้ลดคอเลส
เตอรอลที่พอกตามหลอดเลือด ลดลิ่มเลือด แต่ถ้ารับประทานมากเกินพอดีก็จะทำให้เลือดเหลวอ่อนตัว แข็งตัวยาก
ดังนั้นสัดส่วนที่เหมาะสมในการบริโภคคือ กรดไขมันโอเมก้า 6 ไม่ควรเกิน 4 เท่าของกรดไขมันโอเมก้า 3  แต่เมื่อลองพิจารณาน้ำมันถั่วเหลืองกลับปรากฏว่า มีปริมาณโอเมก้า 6 สูงมากถึง 54% และมีโอเมก้า 3 เพียง 7 % หมายความว่า มีโอเมก้า 6 สูงกว่าโอเมก้า 3 ถึง 7 เท่าตัว  น้ำมันดอกทานตะวันอันตรายหนักไปกว่านั้น คือ มีปริมาณโอเมก้า 6 สูงถึง 68% และมีโอเมก้า 3 เพียง 1% หมายความว่า มีโอเมก้า 6 สูงกว่าโอเมก้า 3 ถึง 68 เท่าตัว น้ำมันงา มีปริมาณโอเมก้า 6 อยู่ในระดับสูงถึง 45% โดยที่ไม่มีโอเมก้า 3 เลย
แม้น้ำมันรำข้าวจะจัดว่าเป็นเป็นน้ำมันชนิดที่ค่อนข้างดี เพราะมีวิตามินอีต้าน อนุมูลอิสระสูง ทั้งในกลุ่มโทโคฟีรอล และไทโคโตรอีนอล และโอรีซานอล ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก มาย แต่น้ำมันรำข้าวก็ยังไม่เหมาะกับการผัด ทอด หรือโดนความร้อนอยู่ดี เพราะอย่างไรเสีย น้ำมันชนิดนี้ก็ยังเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมกันสูงถึง 82% โดยเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งสูงถึง 37% และเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่งอีก 45% หากโดนความร้อนก็จะทำให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตีได้ และหากนำมาผัดทอดซ้ำในอุณหภูมิสูงก็เกิดไขมันทรานส์ได้ และทำให้เกิดการอักเสบ ของหลอดเลือดได้เช่นกัน
แต่นักชีวเคมีชื่อดัง ดร.เรย์ พีท จากมหาวิทยาลโอเรกอน สหรัฐอเมริกา โต้แย้งว่า น้ำมันที่เรียกว่า โอเมก้า 3 หรือกรดไลโนเลนิกที่หลายคนตามหาเพราะคิดว่ามีประโยชน์นั้น แท้ที่จริงแล้วกรดไขมันชนิดนี้ก็ไม่อิ่มตัวเช่นกัน กรดไขมันเหล่านี้เกิดขึ้นในอุณหภูมิที่เย็น ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ที่มีอุณหภูมิที่ร้อนกว่า จึงถูกอนุมูลอิสระทำลายจนหมดสิ้น เป็นที่ทราบดีว่าโอเมก้า 3 มีมากในปลา แต่ปรากฏว่างานวิจัยของ Brouwer และคณะ พ.ศ. 2552 และ Saravanan และคณะ พ.ศ. 2553 ของมหาวิทยาลัยแห่งวาเก็นนิงเก้น แห่งประเทศเนเธอร์ แลนด์ ได้ศึกษาชายหญิงอายุเกิน 55 ปี จำนวน 5,299 คน อยู่ชานเมืองอัมเสตอร์ดัมพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ชอบกินปลาและไม่ชอบกินปลาไม่ มีผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ต่อมาผู้วิจัยได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารโรคหัวใจแห่งยุโรป สรุปว่า "กรดไขมันจำเป็นที่เป็นโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลา จะมี สรรพคุณช่วยป้องกันโรคหัวใจ เหมือนกับที่มีข่าวว่ามันช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้นั้น ไม่เป็นความจริง!!!"  แต่ลองคิดดูว่าปกติคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์มาก ก็ต้องใช้ความร้อนสูงกว่าการผัดทอดผักหรือธัญพืช เพราะต้องการทำให้สุกจึงต้องใช้น้ำมันมาก ในบางกรณีต้องทอดจนน้ำมันท่วม ยิ่งใช้ความร้อนสูงน้ำมันเหล่านี้ก็จะกลายเป็นไขมันทรานส์และเป็น สารก่อมะเร็งได้ในที่สุด
สรุปว่าเราเลือกบริโภคธัญพืชมากแล้วผัดหรือทอดด้วยน้ำมันพืชไม่ อิ่มตัว หลายตำแหน่ง (น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ) ก็มีโอกาสทำให้หลอดเลือดอักเสบ ตีบ และอุดตันได้ทั้งนั้น แต่ถ้ารับประทานกับเนื้อสัตว์มากนอกจากจะมีโอกาสทำให้หลอดเลือดอักเสบแล้ว ยังจะได้โรคมะเร็งตามมาได้ด้วย  การอักเสบของหลอดเลือดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวหลาย ตำแหน่งที่ผ่านกรรมวิธีหรือผ่านความร้อนสูงเท่านั้น (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ) แต่ยังรวมถึงการอักเสบจากการบริโภคน้ำตาลมาก ทั้งจากการรับประทานหวานมาก หรือรับประทานอาหาร พวกแป้งขัดขาวมากเกินไปได้ด้วย
ถ้าเราพิจารณาจาก **ดร.สาทิส อินทรกำแหง** ใช้สูตรชีวจิต โดยเน้นเรื่องการบริโภคโปรตีนจากธัญพืชในสัดส่วนค่อนข้างมาก ซึ่งย่อมหมายความว่าการบริโภคเช่นนี้ย่อมมีสัดส่วนของโอเมก้า 6 ค่อนข้างโดดมาก
ในขณะที่ **พลตรีจำลอง ศรีเมือง** รับประทานโปรตีนจากธัญพืชเช่นกัน เดิมใช้น้ำมันถั่วเหลืองมาอย่างยาวนาน ต่อมาใช้น้ำมันรำข้าว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งทั้งสิ้น และชอบรับประทานอาหารรสจืดโดยไม่ใส่เครื่องเทศใดๆ
ชาวอินเดียที่รับประทานอาหารมังสิวิรัติมาก แม้จะบริโภคโปรตีนจากธัญพืชค่อนข้างสูง แต่พวกเขาก็รับประทานควบคู่ไปกับเครื่องเทศ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผักและผลไม้ อันเป็นการลดข้อด้อยของธัญพืชที่มีกรดไขมัน้ำมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่ เปิดช่องให้อนุมูลอิสระโจมตีได้มาก
การวัดค่าสารต้านอนุมูลอิสระนั้นสามารถวัดได้หลายวิธีและยังมีข้อถก เถียงกันอยู่ แต่การวัดวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Oxidation Radical Absorbance Capacity (ORAC) ซึ่งจัดทำฐานข้อ มูลในองค์กรในเครือข่ายโดย USDA ของสหรัฐอเมริกา ได้เคยจัดอันดับเมื่อปี พ.ศ. 2555 ว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่มากที่สุด พบว่าส่วนใหญ่อยู่ใน "เครื่องเทศ" และ "สมุนไพร" เช่น เมล็ด ซูแมค ( Sumac: สมุนไพรของชาวตะวันออกกลาง) มีค่า ORAC สูงถึง 312,400 μmol ต่อ 100 g, กานพลู มีค่า ORAC สูงรองลงมาคือ 290,283 μmol ต่อ 100 g, เครื่องเทศ ออการีโน มีค่า ORAC 175,295 μmol ต่อ 100 g  ส่วนที่เรารู้จักกันดีในภูมิภาคนี้ก็คือ อบเชย (อันดับ 7) มีค่า ORAC 131,240 μmol ต่อ 100 g, ขมิ้น (อันดับ มีค่า ORAC 127,068 μmol ต่อ 100 g
อันที่จริงมีเครื่องเทศอีกหลายชนิดของไทยที่ไม่ได้มีโอกาสตรวจวัดค่า ORAC แต่เครื่อง เทศ เช่น หัวหอม กระเทียม พริก พริกไทยดำ ต่างมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงทั้งสิ้น ซึ่งคนอินเดียที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์จึงมักรับประทานกับธัญพืชควบคู่ไป กับเครื่องเทศและสมุนไพรด้วย ด้านหนึ่งเป็นการขับลม อีกด้านหนึ่งคือลดทอนข้อด้อยของกรดไขมันไม่อิ่มตัวจากธัญพืชที่เปิดโอกาสให้ อนุมูลอิสระโจมตีมาก
 
ในความเห็นของผมจากการศึกษางานวิจัยหลายชิ้นจึงสรุปสำหรับการป้องกันโรคหัวใจจาการบริโภคว่า
 
1) เราควรใช้น้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงที่สุดในการผัดหรือทอดอาหาร เพื่อป้องกันไม่ใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัวชนิดอื่น โดยเฉพาะคนที่รับประทานมังสวิรัติที่ได้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ซึ่งบริโภคจากโปรตีนจากธัญพืช ควรต้องใช้น้ำมันมะพร้าวสำหรับการผัดทอด และควรดื่มสกัดเย็นในช่วงเช้าเพื่อเพิ่มปริมาณ HDL ให้สูงขึ้น
2) แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเรื่องน้ำมันโอเมก้า 3 ว่าดีจริงหรือไม่ เราควรสลับรับประทานกรดไขมันชนิดอื่นบ้าง เช่น งาขี้ม้อน สาหร่ายเกลียวทอง ฯลฯ เพื่อให้ได้โอเมก้า 3 มาลดสัดส่วนของ โอเมก้า 6 บ้าง
3) การรับประทานอาหารที่เน้นธัญพืชที่มาแทนเนื้อสัตว์ ควรพิจารณาในการรับ ประทานควบคู่กับเครื่องเทศด้วย เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและลดข้อด้อยของกรดไขมันจากธัญพืชเหล่านั้นที่ ไม่อิ่มตัวมาก
4) ควรลดแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง และควรทานผักให้มากขึ้น โดยต้องเข้าใจว่าไม่ว่าโปรตีนและไขมันต่างก็ออกฤทธิ์เป็นกรดทั้งสิ้น ไม่ว่าในรูปของ แป้ง น้ำตาล ไขมันและโปรตีน จึงควรรับประทานให้สัดส่วนของอาหารที่พอดีพอเพียง นั่นก็คือพยายามรับประทานผัก ผลไม้ ที่ให้ฤทธิ์ด่างให้มากขึ้นนั่นเอง และควรดื่มน้ำให้มากพอ 8 แก้วต่อวัน
 
 
ทำไมคนกินมังสวิรัติถึงได้ยังเป็นโรคหลอดเลือดตีบ-6-th.html
 
 

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สุดยอดชลอความแก่ ที่สาวๆ ควรรู้วิธี

4 พฤติกรรมต่อต้านความแก่ สุดยอดยาอายุวัฒนะแห่งความอ่อนเยาว์

            ผู้หญิงเราล้วนต่างก็กลัวแก่ด้วยกันทั้งนั้น เพราะความแก่มักมาพร้อมผิวพรรณที่ประดังไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น บ่งบอกถึงอายุที่เลยวัยเลข 3 และย่างเข้าสู่วัยทองไปแล้วเรียบร้อย บางคนอายุยังน้อยแต่ริ้วรอยหรือความแก่ก็มาเยือนก่อนเสียแล้ว   แต่จากนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกันไปนะคะ เพราะวันนี้เรามีคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมต่อต้านความแก่มาฝาก สาวๆ คนไหนอยากสวย ผิวพรรณอ่อนเยาว์ เต่งตึงอีกครั้ง มาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามนี้เพื่อชะลอความแก่กันเถอะ

1.อยู่กับสิ่งที่ทำให้หัวเราะบ่อยๆ

          การหัวเราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จู่ๆ เราจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาได้ เพราะการจะหัวเราะออกมาทั้งทีแสดงว่าเราได้ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกนั้นออกมาจากหัวใจจริงๆ ความรู้สึกของเราจะพรั่งพร้อมไปด้วยความอิ่มเอม มีความสุขสดใส อารมณ์ดีแบบไร้ความเครียดกังวล และเมื่อฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่งไหลออกมามันก็จะไปเบียดฮอร์โมนคอร์ติซอลให้หล่นหายไป ความเครียดก็จะไม่หลงเหลือ เหลือก็แต่สารความสุขที่จะช่วยชโลมจิตใจและบำรุงผิวพรรณ บำรุงเลือดลมให้เปล่งปลั่ง แค่คุณลองอยู่กับสิ่งที่ทำให้หัวเราะบ่อยๆ ในแต่ละวัน รับรองค่ะว่าหากได้หัวเราะ ได้ยิ้มบ่อยๆ แล้วล่ะก็ ความแก่ชราก็ย่อมห่างไกลออกไปแน่นอนค่ะ

2.กินอาหารบำรุงจากภายใน

           การกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยเติมเต็มผิวพรรณที่สุขภาพดีได้จากภายใน เน้นกินผักผลไม้ อาหารที่ให้ไฟเบอร์สูงและดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 – 10 แก้วเป็นประจำทุกวัน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำหวาน น้ำอัดลมและการสูบบุหรี่ เพราะพฤติกรรมผิดๆ แบบนี้มีแต่จะยิ่งทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินให้เสื่อมสภาพลงโดยเร็ว


3.ดูแลสุขภาพและผิวพรรณอยู่เสมอ

           หากต้องการห่างไกลความแก่สาวๆ จะต้องหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายและผิวพรรณให้ดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการรักษาความสะอาดของผิว การล้างหน้า อาบน้ำทำความสะอาด สครับผิว มาส์กหน้า ทาครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวและทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดนั้นนับว่ามีความสำคัญอย่างมากเลยนะคะ เพราะมันเป็นตัวปกป้องผิวจากความหมองคล้ำ เมื่อผิวได้รับรังสี UV ทำลายบ่อยๆ ก็จะต้องเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำตามมา งานนี้ใครไม่อยากแก่ไว ทำตามนี้ได้ผลแน่นอน

4.ไม่ควรนอนดึกและควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

           การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเข้านอนประมาณช่วง 4 ทุ่มไม่เกิน 5 ทุ่มนั้นนับว่าดีอย่างมากเลยค่ะ เพราะผิวพรรณจะได้รับการซ่อมแซมตัวเอง ทำให้ครีมบำรุงผิวและสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไปสามารถไปบำรุงอวัยวะและเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้กลับมาฟื้นฟูตัวเองอีกครั้ง การนอนเร็ว ไม่นอนดึกและนอนให้ครบวันละ 7 – 8 ชั่วโมงนี่แหละค่ะ เคล็ดลับสู่การมีผิวอ่อนเยาว์และห่างไกลจากความแก่ชราได้อย่างง่ายดายทีเดียว   

           และนี่ก็คือ 4 เคล็ดลับสู่ความอ่อนเยาว์ ต่อต้านความแก่ชราได้อย่างง่ายดาย เป็นวิธีจากธรรมชาติง่ายๆ หากคุณสาวๆ ไม่อยากแก่เร็ว อย่าลืมหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อคืนสู่ความอ่อนเยาว์กันอีกครั้งนะคะ แล้วคุณจะรู้ว่านี่แหละสุดยอดยาอายุวัฒนะแห่งความงามอย่างแท้จริง


อย่าลืมว่า ให้ใช้ อาหารเป็นยา เกิดประสิทธิผลต่อสุขภาพดีที่สุดในการป้องกันโรคภัย  ดีกว่าทานยาเมื่อเจ็บป่วยแล้ว







วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อาหารเป็นยา ที่ชื่อว่า "ถั่งเฉ้าสีทอง"

 

             สมุนไพร ตังเห็ดถังเฉ้าหรือ ตังถั่งแห่เฉ้า หรือ ถั่งเช่า หมายความว่าสมุนไพรจีน เป็น หญ้าหนอน หรือ หนาวเป็นหนอน ร้อนหญ้า เกิดจากตัวหนอนผีเสื้อในแถบที่ราบสูงทิเบต ที่พักอยู่ล่างดินภายในฤดูหนาว ถูกสปอร์ของเห็ดราในสกุล Ophiocordyceps พักพิงเป็นปรสิตและโตขึ้นสร้างเส้นใยออกมาทางส่วนหัวของตัวหนอนในฤดูร้อน เห็ดนี้เรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiocordyceps sinensis เห็ดถั่งเฉ้าค้นพบในทิเบต มณฑลชิงไห่ เมืองเสฉวน เมืองกานซู เมืองยูนนาน และบริเวณเทือกเขาหิมาลัยภายในอินเดีย ภูฏาน และเนปาล มีสรรพคุณในการเพิ่มความสามารถทางเพศ เพิ่มขนาด และเชื่อกันว่ารักษามะเร็ง มีความต้องการในท้องตลาดสูง และมีราคาแพง






ประวัติความเป็นมา ถั่งเฉ้า Cordyceps sinensis
          เห็ด Cordyceps มีการใช้มานานเกือบ 1,500 ปีในการแพทย์แผน​​จีนและทิเบตแบบดั้งเดิม ในประเทศจีนโบราณ, Cordyceps ได้รับการแนะนำสำหรับการเจ็บป่วยจำนวนมากและได้รับการยกย่องว่าเป็นรักษาทั้งหมดและบำรุงสุขภาพโดยทั่วไปเหมือนโสม Cordyceps sinensis, โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีชื่อเสียงจะมีประสิทธิภาพสำหรับการสร้างความแข็งแรงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดผลกระทบของริ้วรอย Cordyceps ได้รับการศึกษาค่อนข้างดีในประเทศจีนและญี่ปุ่นที่บางส่วนของผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับการรับรองถึงแม้ว่าการวิจัยที่มีคุณภาพโดยนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกขาดแคลน หรือมีจำนวนที่น้อยกว่า


ประโยชน์ของระบบภูมิคุ้มกัน ด้วย ถั่งเฉ้า

          ถั่งเช่า  Cordyceps เสริมสร้างและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยการกระตุ้นการผลิตเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ  ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิ คุ้มกันที่รับผิดชอบสำหรับการโจมตีเชื้อโรคเช่นไวรัสและแบคทีเรียตามที่ระบุไว้ในข้อความ ชีวเคมีของโภชนาการมนุษย์.เชื้อรายังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพปกป้องหลอดเลือดและเนื้อเยื่ออื่น ๆ จากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ถั่งเฉ้า Cordyceps สามารถมีผลกดประสาทเล็กน้อย เกี่ยวกับผู้ใช้บางอย่างที่ลดความวิตกกังวลและส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อน ให้หลับได้ลึกขึ้น

ถั่งเฉ้า ช่วยด้านการเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
           บางการศึกษาในสัตว์ได้แสดงให้เห็นว่าการบริโภค ถั่งเฉ้า  Cordyceps เพิ่มอัตราการผลิตในตับของเอทีพีซึ่งเป็นโมเลกุลพลังงานของร่างกายในขณะที่อ้างถึงใน โภชนาการขั้นสูง. ธาตุอาหารหลัก, ธาตุและการเผาผลาญอาหารนอกจากถั่งเฉ้า  Cordyceps ดูเหมือนว่าจะลดความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุและเพิ่มประสิทธิภาพการกีฬา ในยาจีนโบราณ, ถั่งเฉ้า Cordyceps มักจะได้รับการแนะนำให้ใช้ ในการควบคุมความดันโลหิตเพิ่มการไหลเวียนและการเสริมสร้างการเต้นของหัวใจ

           จะดื่มเป็นชา หรือผสมกาแฟ จะดื่มคนเดียวหรือใช้ต้อนรับเพื่อนฝูงอย่างใส่ใจในมิตรภาพ เพื่อฟื้นฟูความทรงจำในการสนทนาได้อีกยาวนาน  หรือใช้ปรุงอาหารก็ย่อมทำได้


ถั่งเฉ้า ผลจากการไหลเวียนของเลือดดี ผลทางอ้อม ทำให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ
          การใช้งานที่นิยมสำหรับ  ถั่งเฉ้า  Cordyceps  ในประเทศแถบเอเชียเป็นยาโป๊ และการรักษาความอ่อนแอ การศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า เห็ดถั่งเฉ้า  Cordyceps มีประสิทธิภาพในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะเพศชาย เป็นผลจากการไหลเวียนของเลือดดีขึ้นทำให้ประสิทธิเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและนำไปสู่​​การกระชับและแข็งตัวยาวนาน

อ้างอิงตาม “The Complete Book of Chinese Medicine.”

ถั่งเฉ้า คุณสมบัติต้านมะเร็ง
             บางทีอาจจะได้รับประโยชน์ที่อาจเกิดความขัดแย้งมากที่สุดของ ถั่งเฉ้า  Cordyceps อยู่ในเรื่องที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง สารสกัดจากเนซิส Cordyceps militaris และได้แสดงให้เห็นกิจกรรมการต้านมะเร็งที่สำคัญในสัตว์ส่วนใหญ่  โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งตามหนังสือ การแพทย์ Herbalism.’ ถั่งเฉ้า Cordyceps ยังเพิ่มออกซิเจนใน ระดับเซลล ซึ่งเป็นการต่อต้าน การก่อโรคมะเร็งและการแพร่กระจาย  การใช้ถั่งเช่า เป็นยารักษา ด้วยถั่งเฉ้าชนิดแคปซูล  ตั้งแต่ 2 กรัมถึง 9 กรัมทุกวัน  จะช่วยคุณได้ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ปกติก็ตาม 
            ดังนั้งควรใส่ใจ และปรึกษาผู้ที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ถั่งเฉ้าให้แก่คุณ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี

ถั่งเช่ากินแล้วแข็งแรงจริงๆไหม???

 
เครดิต Manager.co.th

  1. Tag: ถั่งเช่า,ถั่งเฉ้า,ตังถั่งเช่า,ตังถั่งแห่เช่า,หญ้าหนอน,สมุนไพรจีน,บำรุงร่างกาย,บำรุงตับและไต,บำรุงเลือด,รคหอบหืดและภูมิแพ้,ช่วยเสริมสมรรถภาพเพศชาย,บำรุงไตเสริมสร้างฮอร์โมน ,บำรุงหัวใจบำรุงปอด หลอดลม ,เสริมอายุวัฒนะ ,ป้องกัน เบาหวาน ,ความดัน,โรคหัวใจ,เนื้องอกและเซลล์มะเร็ง,การฟอกไตความดันโลหิตสูงชงเฉ่าตังถั่งเฉ้าตังถั่งเช่า,ตังถั่งแห่เช่าถั่งเฉ้าถั่งเช่าถุงลมโป่งพอง,นิ่วในไต,บำรุงกำลังทางเพศบำรุงไต,ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศมะเร็งยาสมุนไพรฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้าหญ้าหนอนหญ้าหนอนเทวดาหย่อนสมรรถภาพทางเพศหลอดลมอักเสบหอบหืดฮอร์โมนเพศชายเนื้องอกเบาหวานเสริมสมรรถภาพเพศชายเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเห็ดโรคต่อมลูกหมากโรคภูมิแพ้โรคหลอดเลือดหัวใจไอเรื้อรัง, chaog-cao, Cordy cepin
อย่าลืมว่า ให้ใช้ อาหารเป็นยา เกิดประสิทธิผลต่อสุขภาพดีที่สุดในการป้องกันโรคภัย  ดีกว่าทานยาเมื่อเจ็บป่วยแล้ว  

 https://www.facebook.com/อาหารเป็นยา-สมุนไพรเป็นอาหาร
  
     


ถามหา อย.ได้ อย. ถามหาถั่งเช่า  ต้อง ถั่งเช่าไท ที่จับต้องได้แน่นอน
สอบถามปรึกษา ที่   ID Line : siripon561 หรือ 0647895693